ธงไตรรงค์ ชี้รัฐบาลที่ทุจริตเยอะที่สุดใน ปวศาสตราจารย์การบ้านการเมืองไทยหมายถึงราชบัณฑิตยสถานเผด็จการที่มาจากการเลือกตั้ง

ธงไตรรงค์ ชี้รัฐบาลที่คดโกงสูงที่สุดใน ปวศาสตราจารย์การบ้านการเมืองไทยเป็นราชบัณฑิตยสถานเผด็จการที่มาจากการเลือกตั้ง
ตอนวันที่ 26 เดือนกันยายน นายธงไตรรงค์ ทองคีรี สมัยก่อนรองนายกฯ โพสต์ข้อข้อเขียนผ่านเฟซบุ๊ก เรื่อง ระบอบใดเหมาะสมที่สุดสำหรับเมืองไทย โดยมีรายละเอียดทั้งปวงดังต่อไปนี้
ระบอบใดเหมาะสมที่สุดสำหรับเมืองไทย
(มันไม่ใช่อีกทั้งระบอบเผด็จการรวมทั้งระบบประชาธิปไตยที่บริบูรณ์)
ในประวัติศาสตร์ของโลกนั้น มีหลายประเทศที่จำต้องพบเจอปัญหาความไม่มีเสถียรภาพทางด้านการเมืองภายในประเทศกระทั่งไม่อาจจะปรับปรุงประเทศให้ก้าวหน้าขึ้นได้อย่างที่น่าจะเป็น
แบบอย่างที่ดีก็คือประเทศฝรั่งเศส เพราะว่าก่อนปี คริสต์ศักราช1958 (พุทธศักราช2501) ประเทศฝรั่งเศสมีรัฐธรรมนูญที่ให้สภานิติบัญญัติที่สมาชิกได้รับการเลือกตั้งจากสามัญชนเป็นผู้เลือกผู้นำแล้วให้ผู้นำเป็นคนแต่งตั้งนายกฯและก็คณะรัฐมนตรี เพราะว่าประเทศนี้ได้มีการตั้งขึ้นคณะบุคคลพลเมืองเพื่อชูร่างรัฐธรรมนูญใหม่ในปี คริสต์ศักราช1870 โดยคณะบุคคลลงความเห็นให้ยกเลิกสถาบันกษัตริย์อันเป็นการยกเลิกแบบถอนรากอีกรอบหนึ่งและก็เป็นหนสุดท้าย (ทีแรกเกิดขึ้นในปี คริสต์ศักราช1789 ที่สามัญชนเข้ายึดอำนาจการปกครองจากพระผู้เป็นเจ้าหฝ่าส์ที่ 16 แล้วก็กระทำลอบปลงพระชนม์ท่านด้วย)
แม้กระนั้นภายใต้รัฐธรรมนูญที่ให้สภานิติบัญญัติเป็นผู้เลือกผู้นำเป็นกษัตริย์ของประเทศนั้น ได้นำมาซึ่งการก่อให้เกิดการต่อสู้ฉกชิงอำนาจกันระหว่างนักการเมืองรวมทั้งพรรคการเมือง เนื่องจากว่าทุกคนต่างก็อยากได้เป็นลำดับแรกๆของประเทศ ก็เลยควรจะมีการยื้อแย่ง เอาดีเอาเด่นเพื่อได้อำนาจเมืองอยู่ในมือของพวกตน คนใดกันแน่ที่ได้เป็นรัฐบาลก็จะไม่ว่างมาคิดแผนเพื่อความรุ่งเรืองของประเทศในระยะยาวได้ เนื่องจากจะถูกข้างที่มิได้เป็นรัฐบาลจ้องมองตีรวน ก่อความปั่นป่วนให้รัฐบาลไม่อาจจะจะบริหารประเทศได้ด้วยความสบายทุกคน ล้วนเห็นแก่คุณประโยช์จากตนรวมทั้งพรรคของตัวเองมากยิ่งกว่าคุณประโยช์จากชาติ มีการเปลี่ยนแปลงขั้วการบ้านการเมืองเพื่อรัฐบาลอยู่มิได้จะต้องลาออกไป เพื่อกรุ๊ปใหม่จะได้ขึ้นเป็นรัฐบาลใหม่ รัฐบาลใหม่นี้ก็จะพบเจอปัญหาการเช็ดกก่อกวน บั่นทอนเสถียรภาพในทุกวิธีอีกดังเดิม จนกระทั่งเปลี่ยนเป็น วงจรอัปรีย์ ที่ไม่มีรัฐบาลใดสามารถจะมีเสถียรภาพบริหารชาติอยู่นานได้
จากข้อมูลพบว่าเพียงแค่ช่วงเวลา 12 ปี นับย้อนไปไปจาก คริสต์ศักราช1957 ประเทศฝรั่งเศสมีรัฐบาลถึง 20 ชุด หรือเฉลี่ยสุดแท้แต่ละชุดอยู่ในตำแหน่งได้ราว 6 เดือนแค่นั้น (จากหนังสือ การบ้านการเมืองในประเทศฝรั่งเศส เขียนโดย ศ.จ. วงศ์วานเพ็ญ วิหคตาภัย) จนกระทั่งทุกคนทุกพรรคได้เห็นความรันทดของชาติก็เลยได้ด้วยกันไปชักชวน วีรบุรุษประเทศฝรั่งเศสในสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นท่านจอมพล ชาร์ล เดอ โกล มาเป็นนายกฯซึ่งด้านในไม่ถึงปี นายก คนใหม่ก็เสนอให้มีการชูร่างรัฐธรรมนูญใหม่ แล้วเสนอให้พลเมืองลงความเห็นเห็นด้วยประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญใหม่ของประเทศซึ่งได้มีการประกาศใช้ในปี คริสต์ศักราช1958 รวมทั้งยังคงใช้มาจนกระทั่งเดี๋ยวนี้
ด้วยรัฐธรรมนูญใหม่ที่ให้มีการลงคะแนนเสียงผู้นำโดยตรงจากสามัญชนรวมทั้งมีอำนาจสำหรับการแต่งนายกฯและก็คณะรัฐมนตรี แต่ว่าผู้นำจะเป็นผู้กุมอำนาจเหนือรัฐบาลสำหรับในการวางนโยบายเมืองนอกรวมทั้งแนวทางด้านกระทรวงกลาโหม มีวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้งทางอ้อมรวมทั้งมีสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชากรกลุ่มนี้ก่อให้เกิดความพอดีรัฐบาลมีเสถียรภาพจนกระทั่งสามารถมีเวลาวางที่มีความสำคัญในการรบแล้วก็แนวทางระยะยาวอีกทั้งในทางเศรษธุระรวมทั้งสังคม จนถึงเจริญรุ่งเรืองรวยอย่างที่มองเห็นกันอยู่ในทุกวันนี้ (เนื้อหาจะได้เล่าให้ฟังในจังหวะถัดไปเพราะเหตุว่ามีหลายประเทศที่น่าเอ๋ยถึง ตัวอย่างเช่น ประเทศนอร์เวย์ ประเทศฟินแลนด์ รวมทั้งออสเตรีย ฯลฯ)
มองเขาแล้วทดลองย้อนดูตัวพวกเราเองบ้างจะดีไหม?
ตั้งแต่ พุทธศักราช2475 จนกระทั่ง พุทธศักราช2516 พวกเรามีรัฐบาลเผด็จการโดยพวกภาควิชาพลเมืองรวมทั้งผู้สืบทอดมรดก มากยิ่งกว่ารัฐบาลระบบประชาธิปไตยแต่ว่าทุกรัฐบาลล้วนวุ่นวายอยู่กับการดูแลและรักษาอำนาจของตัวเอง ก็เลยไม่ว่างคิดประเด็นการปรับปรุงประเทศอย่างเป็นจริงเป็นจัง โดยยิ่งไปกว่านั้นการคิดเรื่องอนาคตทางเศรษธุระของประเทศ ได้มาเริ่มทำกันค่อนจะขมักเขม้นก็ยุคของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในปี พุทธศักราช2502 ซึ่งได้ปรับปรุงแก้ไขที่ทำการที่ปรึกษาทางด้านเศรษฐกิจยุคจอมพล เปรียญ พิบูลการทำศึกให้มาเป็นสภาพัฒท้องนาเศรษฐกิจแห่งชาติ มีบทบาทคิดแผนปรับปรุงเศรษฐกิจ เมืองไทยก็เลยได้มีแผนในการปรับปรุงเศรษฐกิจแล้วก็สังคมแห่งชาติฉบับแรกเป็นแผนสำหรับ พุทธศักราช2504-2509 (ถัดมาได้แปลงชื่อเป็นสภาพัฒที่นาเศรษฐกิจและก็สังคมแห่งชาติในปี พุทธศักราช2515)
ทั้งผองที่เกิดขึ้นก็เป็นการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะของที่ปรึกษาจากสหรัฐฯ เพราะว่าสหรัฐปรารถนาใช้เมืองไทยเป็นด่านหน้าสำหรับในการต่อสู้กับการขยายอิทธิพลของข้างลัทธิคอมมิวนิสต์ที่กำลังโตวันโตคืนบนโลกอยู่ขณะนั้น แล้วก็เพื่อเป็นการทดแทนกัน จอมพล เปรียญ แล้วก็จอมพล สฤษดิ์ ก็ได้รับการผลักดันและสนับสนุนอย่างมากจากประเทศสหรัฐอเมริกา แม้ว่าเป็นรัฐบาลเผด็จการ (อยากทราบความชัดเจนของเนื้อหาในประเด็นนี้ สามารถหาอ่านได้จากหนังสืออันมีคุณค่าชื่อ “50 ปีเศรษฐกิจไทย” ของคุณบรรยง ดงษ์พานิช 2022, บริษัท ภาพพิมพ์ จำกัด เป็นผู้ที่พิมพ์เพื่อเผยแพร่)
ภายหลังจากมีการปฏิรูปใหญ่โดยราษฎรและก็นิสิตในปี พุทธศักราช2516 ก็เลยเริ่มมีการชูร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นระบบประชาธิปไตยเพิ่มมากขึ้นในยุค ท่านคำสัญญา ธรรมศักดา เป็นนายกฯ แม้กระนั้นจากนั้นก็มีการสลับกันไปๆมาๆระหว่างรัฐบาลจากการเลือกตั้งและก็รัฐบาลจากการปฏิวัติ แต่ว่าทั้งสองฝ่ายไม่มีผู้ใดคิดเรื่องที่มีความสำคัญในการรบของประเทศกันเลย เพราะว่ามัวยุ่งอยู่กับการตราหน้าดุเอ็งดุเรากันว่า ใครกันแน่เป็นรัฐบาลที่คดโกงบ้านกินเมืองมากยิ่งกว่ากัน
ประเทศจำต้องรอคอยจนกระทั่ง พุทธศักราช2523 ก็เลยได้มีรัฐบาลที่เริ่มมีการวางที่มีความสำคัญในการรบรวมทั้งแนวทางระยะยาวเพื่อชาติมีความเจริญก้าวหน้าและก็มั่นคงในทางเศรษฐกิจกันอย่างเอาจริงเอาจัง
ในยุคที่ พล.อำเภอเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกฯ โดยการจัดให้มีท่าเรือน้ำลึกแล้วก็เขตอุตสาหกรรมมาบตาพุดและก็ท่าเรือแหลมฉบังรวมทั้งเป็นนายกฯ คนแรกที่มีคำบัญชาให้มีแบบแผนที่มีความสำคัญในการรบระยะยาวอีกทั้งทางเศรษฐกิจแล้วก็สังคมสำหรับ 3 จังหวัดชายแดนใต้ เอาไว้ในแผนปรับปรุงเศรษฐกิจและก็สังคมแห่งชาติ
ถัดมาจนกระทั่งปี พุทธศักราช2561 ในยุคของรัฐบาลที่มี พล.อำเภอประยุทธ์ จันทร์อร่อย เป็นนายกฯก็เลยได้มีการประกาศตั้งขึ้นเขตปรับปรุงพิเศษภาคทิศตะวันออก (EEC) และก็ที่มีความสำคัญในการรบ 20 ปี (พุทธศักราช 2561-2580) กับการมีการปรับแต่งปรับปรุงระบบขนส่งทุกหมวดหมู่ให้เอื้อต่อความเจริญรุ่งเรืองของประเทศที่กำลังจะเกิดขึ้นตามแผนในที่มีความสำคัญในการรบ บอกได้เต็มปากว่าไม่เคยมีรัฐบาลอะไรก็แล้วแต่ในสมัยก่อนที่ได้สร้างความมั่นคงและยั่งยืนแบบนี้ให้กับอนาคตของประเทศในทางเศรษฐกิจเสมือนรัฐบาลของ พล.อำเภอเปรม รวมทั้งรัฐบาลของ พล.อำเภอประยุทธ์
ที่กล่าวมาทั้งผองก็เพื่อทำให้เห็นว่า ไม่ใช่ท่องแต่ว่าคาถาอาคมว่าประเทศควรมีระบบประชาธิปไตยที่บริบูรณ์ จะต้องมีความอิสระที่บริบูรณ์ ควรมีความเท่ากันที่บริบูรณ์ ทุกสิ่งทุกอย่างจำเป็นต้องมาจากการเลือกตั้งของสามัญชน แล้วจะก่อให้ประเทศเจริญรุ่งเรืองและก็มีเสถียรภาพ
เชื่อผมเหอะ ไม่มีประเทศใดในโลกที่มีเสถียรภาพที่บริบูรณ์และไม่มีประเทศใดในโลกที่มีความเท่าเทียมที่บริบูรณ์
ท่านพุทธข้าทาสฯบอกเหมาะสมว่า ระบอบอะไรก็ได้หากสามารถทำให้มีรัฐบาลที่ทำประโยชน์ให้แก่ราษฎรได้จริงๆก็เป็นระบอบที่ดีทั้งนั้น การท่องจำว่าควรเป็นระบอบที่สามัญชนยิ่งใหญ่ในแผ่นดินนั้นผิด จะต้องเป็น ระบอบที่ผลตอบแทนของพลเมืองยิ่งใหญ่ในแผ่นดิน ก็เลยจะถูกกว่า

อย่าลืมว่ารัฐบาลที่คดโกงบ้านกินเมืองสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศไทยเป็นรัฐบาลเผด็จการที่มาจากการเลือกตั้งของสามัญชน